วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เธอ (กาแฟ) มาดี หรือมา วร้ายยย กับฉัน ตอนที่ 1



BENEFIT Of
COFFEE

ขอบคุณข้อมูลจาก:
https://www.pobpad.com/
http://www.thaigoodview.com/node/164028
https://sistacafe.com/summaries/14719-





1. ลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่ว


ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปี 2002 เผยว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีลดลงประมาณ 25% เช่นเดียวกับผลการวิจัยก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ด้วย



2. กาแฟช่วยลดความเครียด

เชื่อว่าหลายคนแอบเห็นด้วยกับผลวิจัยนี้ เพราะเมื่อรู้สึกเครียด ๆ เหนื่อย ๆ ทีไร ได้จิบกาแฟสักหน่อยก็จะรู้สึกดีขึ้นใช่ไหมคะ ซึ่งคราวนี้เราการันตีด้วยผลการวิจัยเพิ่มเติมอีกด้วยว่า คนที่ดื่มกาแฟประมาณ 2-3 แก้วต่อวัน จะลดความเครียดได้ประมาณ 15 % แต่หากดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน จะสามารถลดความเครียดได้ถึง 20% เลยทีเดียวจ้า





3. ช่วยกระตุ้นความจำ

ผลการวิจัยจากภาครังสีวิทยาของอเมริกาเหนือกล่าวว่า หากดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวัน จะสามารถพัฒนาความจำ และปฏิกิริยาตอบโต้ได้ดีขึ้น สอดคล้องกับการวิจัยของอีกสถาบันหนึ่งที่บอกว่า ผู้หญิงอายุ 65 ปีขึ้นไป หากดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวัน จะมีความจำที่ดีขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มกาแฟ หรือดื่มกาแฟน้อยกว่านี้

ส่วนมหาวิทยาลัยเซาท์ฟรอริด้าก็เผยว่า คนอายุล่วงเข้าวัยกลางคน ควรดื่มกาแฟประมาณ 4-5 แก้วต่อวัน เพื่อเพิ่มระดับฮอร์โมน GCSF สารที่ช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ด้วยจ้า


4. รอดจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2

จากการศึกษาของภาคการเกษตรและเคมีอาหารของสหรัฐอเมริกา ทำให้ทราบว่า นักดื่มกาแฟตัวยง จะมีโอกาสรอดพ้นจากโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ประมาณ 50% เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง hIAPP และโพลีเปปไทด์ ตัวการก่อให้เกิดโปรตีนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั่นเอง



5. ลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง

มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับได้ด้วย โดยประสิทธิภาพของคาเฟอีน จะช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกำจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับได้ในระดับหนึ่ง



6. กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญ

มีผลการวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า คาเฟอีนช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึม และอาจจะทำให้น้ำหนักคุณลดลงได้ แต่ล่าสุดผลการวิจัยเมื่อปี 2006 เพิ่งจะได้ข้อสรุปว่า คาเฟอีนในเมล็ดกาแฟสดคั่วบด มีผลกับการลดน้ำหนักในผู้หญิงได้จริง และสามารถลดน้ำหนักเฉลี่ยได้ 7.7 กิโลกรัมภายใน 22 สัปดาห์เลยทีเดียว


7. ลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน

สถาบันการแพทย์อเมริกันได้ทำการวิจัยและพบว่า คาเฟอีนในกาแฟมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงเป็นโรคพาคินสัน โดยผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคพาคินสันได้ถึง 25%




8. ปลุกความตื่นตัวได้ในทันที

คาเฟอีนมีคุณสมบัติไม่ต่างจากสารกระตุ้นดี ๆ ชนิดหนึ่ง ที่สามารถปลุกความตื่นตัวให้กับร่างกายที่อ่อนล้า หรืออ่อนเพลียได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ยืนยันด้วยการทดลองกับนักกีฬากลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้ดื่มกาแฟระหว่างที่ฝึกซ้อม และพบว่า นักกีฬากลุ่มที่ดื่มกาแฟจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้นานขึ้น เรียกได้ว่ามีความอึดมากกว่าเดิมนั่นเอง โดยความคึกคักที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น



9. ลดโอกาสเป็นโรคเกาต์

สำหรับคนที่กลัวตัวเองจะเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ดื่มกาแฟประมาณ 3-6 แก้วต่อวันอย่างต่อเนื่อง เพราะผลการวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งหนึ่งยืนยันแล้วว่า คาเฟอีนมีส่วนช่วยบรรเทาการอักเสบของข้อ เนื่องมาจากกรดยูริกที่เกินขนาดอย่างได้ผล และคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวัน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ได้ถึง 60%








สำหรับผู้หญิง


1. ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้หญิง 25%

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยของสเปนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2-3 แก้วต่อวัน มีอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มและมากกว่าผู้ชาย 25%

2. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือดในผู้หญิง 43%
จากการศึกษากับนางพยาบาล จำนวน 83,000 คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ และดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือดได้ถึง 43%




สำหรับผู้ชาย

1. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการศึกษากับผู้ชาย จำนวน 50,000 คน เป็นเวลา 20 ปี พบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวันจะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม




*ปริมาณการดื่มกาแฟที่ปลอดภัย



- ปริมาณกาแฟที่ใช้รักษาโรคชนิดต่าง ๆ ตามที่มีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันและพบว่าใช้ได้อย่างปลอดภัย มีดังนี้

- การรักษาอาการปวดศีรษะ ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว

- การเพิ่มความรู้สึกตื่นตัว ดื่มกาแฟวันละ 250 มิลลิกรัม หรือประมาณ 2 แก้ว

- การป้องกันโรคพาร์กินสัน ดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนวันละ 3-4 แก้ว โดยแต่ละงานวิจัยใช้กาแฟที่มีคาเฟอีนประมาณ 421-2,716 มิลลิกรัม แต่การดื่มประมาณ 124-208 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1-2 แก้วก็อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ทั้งนี้สำหรับผู้หญิงควรรับประทานประมาณวันละ 1-3 แก้วจะให้ผลดีที่สุด

- การป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้รับคาเฟอีนในปริมาณวันละ 400 มิลลิกรัมขึ้นไป หรือเทียบเท่ากับกาแฟมากกว่า 2 แก้ว อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 800 มิลลิกรัมนั้นน่าจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด

เธอ (กาแฟ) มาดี หรือมา วร้ายยย กับฉัน ตอนที่ 2

DISADVANTAGE  Of

COFFEE

ขอบคุณข้อมูลจาก:
http://www.montorecoffee.com/
https://today.line.me/th/pc/article/
https://www.tnews.co.th/contents/363485
https://www.pobpad.com/




1.เพิ่มระดับความดันโลหิตให้สูงมากขึ้น
การดื่มกาแฟจะทำให้ระดับความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นนานถึง 12 ชั่วโมง ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในตอนเครียดๆ หรือช่วงที่ร่างกายมีภาวะความกดดันมากเป็นพิเศษ



2.คาเฟอีนจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุ
คาเฟอีนในกาแฟจะขัดขวางการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียม สังกะสีและเหล็กสำหรับผู้ที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีเพียงพอ จึงควรพยายามหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ

3.ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารหนักขึ้น
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร ควรดื่มกาแฟอย่างระมัดระวังจะดีที่สุด เพราะกาแฟจะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น จึงเป็นผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง



4.เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน
เนื่องจากคาเฟอีนมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ หากดื่มกาแฟติดต่อกันเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม จนนำมาสู่ความเสี่ยงของภาวะการเกิดโรคกระดูกพรุน


5.หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือร่างกายทารกไม่สมบูรณ์
เพราะหากดื่มกาแฟมากจนเกินไปอาจส่งผลทำให้ทารกเจริญเติบโตแบบผิดปกติ หรือเพิ่มโอกาสในการแท้งได้สูงขึ้น เพราะคาเฟอีนจะก่อให้เกิดผลกระทบยังอวัยวะภายในของทารกที่กำลังบอบบางอยู่นั่นเอง
6.มีผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามิน B1
วิตามิน B1 เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลและความมั่นคงเกี่ยวกับระบบประสาทภายในร่างกาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ร่างกายขาดวิตามิน B1 อยู่แล้ว
จึงควรงดดื่มกาแฟ ไม่เช่นนั้นคาเฟอีนจะยิ่งเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของวิตามินดังกล่าวให้ทำงานบกพร่องมากขึ้นได้

7.ผู้ป่วยโรคหัวใจ หัวใจจะยิ่งเสื่อมเร็ว
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ไม่ควรดื่มอย่างยิ่ง เพราะคาเฟอีนจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจทำให้มีเลือดปริมาณสูงขึ้น

8.นอนหลับไม่เต็มที่ขณะที่เรานอนหลับ ร่างกายจะได้รับการแทรกแซงด้วยคลื่นรบกวนอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นผลมาจากคาเฟอีน จนทำให้ร่างกายก็ของเราก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แท้จริง

9.ทำให้น้ำหนักขึ้น
เพราะน้ำตาล นมและครีมที่เราเติมเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติกาแฟให้อร่อยยิ่งขึ้น บวกกับหลายคนชอบกินขนมเค้ก คุกกี้ หรือขนมหวานต่างๆ คู่กับกาแฟอยู่เป็นประจำ ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวนั่นเอง

10.ทำให้หน้าอกเล็กลง
เนื่องจากมีผลวิจัยออกมาระบุว่า การดื่มกาแฟจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้
แต่ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ขนาดเต้านมหดเล็กลงได้ด้วยเช่นกัน

11.ส่งผลเสียต่อปัญหาสุขภาพหลายด้าน หากดื่มกาแฟมาก คาเฟอีนจากกาแฟก็จะกระตุ้นทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย มือไม้สั่น ปวดศีรษะ โกรธง่าย ทั้งยังส่งผลกระทบมายังหัวใจและเส้นเลือดโดยจะทำให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดเกิดการคลายตัว หรืออาจบีบรัดตัวหนักยิ่งขึ้นจนนำมาสู่ภาวะความตึงเครียดในร่างกายได้ง่าย

12.ติดกาแฟ
ควรดื่มกาแฟอย่างพอดี ประมาณวันละ 1-2 แก้วเท่านั้นถึงจะไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ แต่สำหรับใครที่ดื่มกาแฟวันละมากกว่า 1-2 แก้ว นั่นแปลว่า กำลังมีอาการติดกาแฟอย่างหนัก และสำหรับใครที่ติดกาแฟมากๆ คาเฟอีนก็จะสะสมในร่างกายปริมาณมาก คาเฟอีนซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง จะทำให้สมองมีความตื่นตัว และทำงานหนักมากขึ้นได้

บุคคลที่ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟ

§ หญิงที่ตั้งครรภ์ควรได้รับคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับกาแฟสำเร็จรูปไม่เกิน 2 แก้ว หรือเท่ากับกาแฟชงสด 1 แก้ว หากได้รับกาแฟมากกว่านี้อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด และทารกมีน้ำหนักตัวแรกคลอดน้อยได้ โดยยิ่งได้รับกาแฟมากเท่าใดก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น

§ การดื่มกาแฟวันละ 1-2 แก้วดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายสำหรับแม่ที่ต้องให้นมบุตรและทารก แต่การดื่มกาแฟในปริมาณมากอาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหารของทารก อีกทั้งทำให้เด็กนอนไม่หลับและเกิดอาการหงุดหงิดฉุนเฉียวได้

§ การให้เด็กดื่มกาแฟอาจไม่ปลอดภัย เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากการดื่มที่รุนแรงมากกว่าในผู้ใหญ่

§ ผู้ป่วยโรควิตกกังวลอาจมีอาการวิตกกังวลที่แย่ลงได้จากการดื่มกาแฟ

§ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมีเลือดออกผิดปกติ การดื่มกาแฟอาจยิ่งทำให้อาการแย่ลงได้

§ การดื่มกาแฟต้มจะยิ่งทำให้ได้รับคอเลสเตอรอลและไขมันชนิดอื่น ๆ ในเลือดสูงขึ้น รวมถึงระดับโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) ในร่างกายที่อาจจะสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจ และยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่าการดื่มกาแฟนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

§ บางงานวิจัยแนะนำว่าสารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยมีรายงานว่ากาแฟอาจไปเพิ่มหรือลดระดับน้ำตาลในเลือดก็ได้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรใช้กาแฟอย่างระมัดระวังและหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

§ การดื่มกาแฟอาจส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้วมีระดับความดันโลหิตสูงยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำอยู่แล้วอาจได้รับผลกระทบนี้น้อยกว่า

§ ผู้ป่วยโรคต้อหินไม่ควรดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้ความดันภายในดวงตาสูงขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ภายใน 30 นาทีแรกและคงอยู่อย่างน้อย 90 นาที

§ การดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนอาจทำให้แคลเซียมถูกขับออกทางปัสสาวะมากขึ้นจนกระดูกอ่อนแอลง ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนจึงควรจำกัดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 2-3 แก้ว และอาจรับประทานแคลเซียมเสริมเพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไป

§ ผู้ที่มีอาการท้องเสียหรือมีโรคลำไส้แปรปรวนอยู่แล้วไม่ควรรับประทานกาแฟ เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟอาจทำให้อาการท้องเสียหรืออาการของโรคแย่ลงกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อได้รับในปริมาณมาก

§ หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีโรคความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของวิตามินดีได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรระมัดระวังในการดื่มกาแฟเป็นพิเศษ



อะไรดีหนา coffee or tea , COFFEE

ดื่มอะไรดีหนา








วันนี้เราจะมาขอแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกดื่มของทุกคนนะคะ


ที่มา:
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%97
http://www.auxvillesdumonde.com/th/city-guide/milan/cappuccino-dos-and-donts
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%8B
http://truecoffee.truecorp.co.th/th/beverages/iced-beverages/cafe-mocha.html
http://coffee-education.com/flat-white/









อเมริกาโน่



สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนนั้น ตีความกันอย่างง่ายๆ ก็หมายถึงสหรัฐอเมริกานั่นเอง ว่ากันว่าเอสเพรสโซ่เพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา ดังนั้นจึงได้มีการปรับปรุงสูตร โดยมีการนำน้ำร้อนมาเจือจางกาแฟเอสเพรสโซเพื่อให้มีรสชาติที่เบาบางลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาโนนี้จะเป็นกาแฟที่คนอเมริกานิยมดื่มกัน


ลาเต้




คือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยเทเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนที่ตีด้วยไอน้ำจากเครื่องชง 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อม ๆ กัน และจะหยอดฟองนมหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ทับข้างบน กาแฟชนิดนี้มีหน้าตาคล้ายกับกาแฟโอแลของฝรั่งเศส แต่กาเฟโอแลมักเตรียมจากกาแฟดำที่ชงแบบหยด ผสมกับนมที่อุ่นให้ร้อนในอัตราส่วนเท่ากัน



คาปูชิโน่



คาปูชิโน่จะมีรสชาติดีกว่าถ้าไม่ใส่น้ำตาล หรืออาจใส่แค่เพียงเล็กน้อย ควรใช้ช้อนคนกาแฟ ห้ามเลียช้อนคนกาแฟ ให้วางช้อนบนจานรองถ้วย และห้ามใช้ช้อนตักฟองนมด้านล่างถ้วยกาแฟ 



เอสเพรซโซ่




คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม มีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน



มอคค่า





เป็นเครื่องดื่มกาแฟที่คล้ายกับกาแฟลาเต้คือมีเอสเพรสโซ่ 1/3 ส่วนและนมร้อน 2/3 ส่วน แต่แตกต่างกันที่มอคค่าจะมีส่วนผสมของช็อคโกแลตด้วย โดยมักจะใส่ในรูปของน้ำเชื่อมช็อคโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้า มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย




เฟลชมิลค์


Flat = แบนๆ 
White = สีขาว ในที่นี้หมายถึง ‘นม’ ที่เติมลงในเเก้วกาแฟ 
FLAT WHITE 2 คำนี้ บรรยายคาแรกเตอร์ของเมนูได้ลงตัว ว่าเป็นเมนูกาแฟใส่นม ที่ผิวกาแฟเคลือบด้วยนมบางๆ แบนเฉียบ


วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วิธีการชงกาแฟ ในแบบฉบับต่างๆ

  วิธีการชงกาแฟ ในแบบฉบับต่างๆ



เอสเพรสโซ

เอสเพรสโซ คือ ชื่อวิธีการชงกาแฟที่เกิดจากสิ่งประดิษฐ์ของ อันเจโล โมริออนโด (Angelo Moriondo) 
ในปี 1884 ซึ่งก็คือเครื่องชงกาแฟด้วยไอน้ำ หรือ Espresso Machine จากนั้น ลุยจี เบซเซรา (Luigi Bezzera) นักประดิษฐ์ชาวอิตาเลียนอีกคนก็ได้สานต่อและพัฒนาเครื่องเอสเพรสโซจนกลายเป็นที่นิยมในเวลาต่อมาซึ่งคอนเซ็ปต์ก็คือการอัดไอน้ำและน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วบดละเอียด เหมาะกับกาแฟคั่วแก่ เพราะจะให้รสชาติที่เข้มข้นชัดเจนที่สุดเมื่อชงเป็นเบสของกาแฟ



กาแฟดริป

                                     
กาแฟดริป อาจรู้จักในชื่อ Brewed Coffee sinv Pour-over Coffee คิดค้นโดย เอมิลี ออกุสต์ เมลิตทา เบนซ์ (Amalie Auguste Melitta Bentz) สาวเยอรมันผู้คิดค้นกระดาษกรองกาแฟ (Coffee Filter) เพราะเครื่องชงเอสเพรสโซในสมัยนั้นยังแยกกากได้ไม่ดี จากนั้นกาแฟดริปจึงแพร่หลายไปทั่วโลก และเป็นที่นิยมอย่างสูงสุดในญี่ปุ่น
กาแฟดริป ใช้เวลาชงประมาณ 5-10 นาที แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน เริ่มตั้งแต่การนำเมล็ดกาแฟที่ผ่านการบดแล้วมาใส่ในถ้วยกรวยดริปที่มีรูเล็กตรงก้นแก้ว รองด้วยกระดาษดริปซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกรองกากกาแฟ จากนั้นจึงค่อยๆ รินน้ำร้อนวนเป็นวงกลมก้นหอยจากกาดริปที่มีพวยขนาดเล็ก รอให้น้ำค่อยๆ ไหลซึมผ่านกาแฟและกระดาษดริปลงสู่ภาชนะด้านล่างก็เป็นอันเสร็จสิ้น






กาแฟดริปเย็น


        กาแฟดริปเย็นไม่ได้แตกต่างจากกาแฟดริปปกติแค่การใช้น้ำเย็นมาแทนที่ แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ที่เข้าใกล้อุปกรณ์ในห้องแล็ปวิทยาศาสตร์มากขึ้นเสียทุกที ทาวเวอร์ 3 ชั้น ประกอบด้วย โหลใส่น้ำก้นเล็กจิ๋ว ประกอบกับวาล์วปล่อยน้ำเป็นหยดๆ ลงมาในส่วนของโหลก้นเปิดในชั้นกลาง ซึ่งมีเมล็ดกาแฟบดและตัวกรองรองอยู่ น้ำจะไหลผ่านกาแฟลงไปยังภาชนะรองรับที่ชั้นล่างสุด โดยขบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ ข้อดีของกาแฟดริปเย็นคือกรดจะอ่อนกว่าชนิดอื่นๆ



กาแฟสกัดเย็น


การชงกาแฟสกัดเย็น เพียงแค่มีเมล็ดกาแฟ น้ำเย็น กระดาษกรอง และขวดโหลก็สามารถทำเองได้ที่บ้าน ใส่เมล็ดกาแฟบดลงไปในโหล รินน้ำเย็นตาม และปิดฝาโหลทิ้งไว้ข้ามคืนที่อุณหภูมิห้อง หรือจะแช่ตู้เย็นก็ได้ โดยกาแฟสกัดเย็นนั้นเหมาะกับเมล็ดคั่วอ่อนและบดค่อนข้างหยาบเพื่อรสชาติที่ไม่ขมเข้มจนเกินไป วันรุ่งขึ้นจึงนำกาแฟในโหลมาเทใส่แก้วผ่านกระดาษกรองเพื่อแยกกากก็เรียบร้อย






กาแฟไนโตร




        กาแฟไนโตรชงเหมือนกาแฟสกัดเย็น แต่จะทำในปริมาณที่มากกว่าหลายเท่า จากนั้นจึงอัดไนโตรเจนเข้าไปคล้ายระบบเบียร์ ทำให้มีฟองนุ่มเหมือนฟองเบียร์ วิธีเสิร์ฟนั้นถอดแบบมาจากคราฟต์เบียร์ ก็คือเปิดจากแท็ปรินใส่แก้ว กาแฟไนโตรเหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟและชอบเบียร์สด เพราะจะดึงรสชาติและกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟมานำเสนอและเสิร์ฟในเท็กซ์เจอร์ปนฟองนุ่มๆ 




  
กาแฟแบบแอโรเพรส


     กาแฟแบบแอโรเพรสริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2005 โดยนักฟิสิกส์ อลัน แอดเลอร์ (Alan Adler) ผู้คิดค้นเครื่องแอโรเพรสที่มีลักษณะเป็นท่อ 2 ชิ้นประกอบกันเหมือนไซริงก์ ซึ่งรสชาติของกาแฟจะเข้มข้นใกล้เคียงกับการชงแบบเอสเพรสโซ



เมล็ดกาแฟที่ผ่านการบดและตวงแล้วจะถูกใส่ลงในท่อบน รินน้ำร้อนตามลงไป ใช้ด้ามคน และปิดท่อด้วยกระดาษกรองกับฝาตะแกรง พอได้เวลาก็จับท่อบนพลิกใส่แก้ว แล้วกดอีกท่อลงมาเหมือนเข็มฉีดยาเพื่อรินกาแฟ เห็นได้ชัดว่ามีแรงดันอากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง


กาแฟเฟรนช์เพรส


กาแฟเฟรนช์เพรสนั้นไม่ได้ต่างจากแอโรเพรสสักเท่าไหร่ในแง่ของการพึ่งพาแรงดันอากาศ หนำซ้ำยังเก่าแก่กว่า เพราะ อทิลลิโอ คาลิมานี (Attilio Calimani) นักออกแบบชาวอิตาเลียนได้จดสิทธิบัตรเครื่องชนิดนี้ตั้งแต่ปี 1929

เครื่องเฟรนช์เพรสมีลักษณะเป็นกาทรงสูงให้ใส่เมล็ดกาแฟบดและน้ำร้อนลงไป จากนั้นจึงใส่ตัวกดตะแกรงลงไป และค่อยๆ กดลงจนสุดกา เคล็ดลับคือต้องบดเมล็ดให้หยาบหน่อยเพื่อป้องกันกากกาแฟติดตะแกรง การชงแบบนี้จะให้รสชาติที่แท้จริงของกาแฟโดยไม่ผ่านฟิลเตอร์ใดๆ มีไว้ติดบ้านก็ได้ แต่ไม่ควรพกพาไปไหนสักเท่าไหร่


กาแฟไซฟอน 



ไซฟอน หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ Vacuum Coffee คือการชงกาแฟสุญญากาศที่ว่ากันว่าถูกคิดค้นขึ้นในกรุงเบอร์ลินประมาณช่วง 1830s แต่ก็มีเสียงแตกบางส่วนที่กล่าวว่ากาแฟไซฟอนนั้นเกิดขึ้นในญี่ปุ่น                  โดย อะกิระ โคโนะ


การชงกาแฟไซฟอนน่าจะดูตื่นตาตื่นใจที่สุดในบรรดาการชงทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การต้มน้ำให้เดือดจัดในโถลูกแก้วโดยตะเกียงแอลกอฮอล์ ใส่เมล็ดกาแฟบดลงในโถแก้วทรงกระบอกที่มีตัวกรองตรงก้น ประกอบโถกาแฟเข้ากับก้านเครื่องและโถน้ำ น้ำเดือดจะถูกแรงดันผลักขึ้นไปบนโถกาแฟทรงกระบอกโดยใช้หลักการคล้ายกับวิธีกาลักน้ำ และเมื่อปิดไฟตะเกียง กาแฟจากโถกระบอกก็จะไหลลงสู่โถลูกแก้วเป็นอันพร้อมดื่ม ข้อดีของการชงแบบนี้คือ กลิ่นหอมที่ชัดเจน แต่ความเข้มข้นยังห่างเอสเพรสโซอยู่มาก



กาแฟโมกาพ็อต 


Moka Pot หรือ Macchinetta ในภาษาอิตาเลียน แปลว่า Small Machine คือเครื่องชงกาแฟที่คิดค้น ขึ้นโดยนักประดิษฐ์ชาวอิตาเลียน ลุยจี เดอ ปอนติ (Luigi De Ponti) และจดสิทธิบัตรในชื่อ อัลฟอนโซ บิอาเล็ตติ (Alfonso Bialetti) เมื่อปี 1933 โดยเครื่องโมกาพ็อตนี้เป็นที่นิยมในแถบยุโรปและ ลาตินอเมริกา และมีรูปทรงที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ 

ตัวโมกาพ็อตมีลักษณะเป็นกาทรงสูงทำจากสเตนเลสที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ใส่น้ำร้อนที่โถด้านล่าง ปักกรวยกาแฟตามลงไป จากนั้นจึงประกบกับโถด้านบนซึ่งมีท่อแหลมเรียวทรงสูงนูนขึ้นมา พร้อมรู 2 รูด้านบนสุด วางโมกาพ็อตลงบนเตาไฟ กาแฟจะถูกแรงดันน้ำเดือดผ่านขึ้นมาตามท่อแหลม 2 รูนั่นเอง เคล็ดลับคือต้องบดกาแฟให้หยาบกลางๆ ระหว่างการชงแบบเอสเพรสโซ และดริป ไม่เช่นนั้นกาแฟจะขม



กาแฟแบบเคแม็ก

Chemex คือ กรวยชงกาแฟชนิดหนึ่ง โดยวิธีการชงแบบนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กับการ Drip ที่ใช้น้ำร้อนเทใส่ผงกาแฟและผ่านกระดาษกรองลงไป แต่จะแตกต่างกันที่วิธีการนี้ทุกขั้นตอนจะต้องทำด้วยมือตั้งแต่การบดไปจนถึงการเทน้ำร้อนใส่ลงบนผงกาแฟ




ขอบคุณข้อมูลจาก:

https://medium.com/@mokapot24/11

ภาพประกอบ:
google photo




วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

รวมร้านกาแฟตลอดการเดินทาง

รวมร้านกาแฟตลอดการเดินทาง

รวบรวมร้านกาแฟที่จะพบเจอได้บ่อยในการเดินทาง เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้เดินทางในการรเลือกบริโภค 
และสามารถร่วมแชร์ร้านกาแฟที่คุณประทับใจ






ร้าน "อเมซอน" Amazon cafe



พิกัด : ปั๊ม ปตท.



ร้าน "อินทนิล" Inthanin



พิกัด : ปั๊ม บางจาก

ร้าน "ดิโอโร่" D' Oro




พิกัด : ปั๊ม เอสโซ่

ร้าน "แม็ค" MC Cafe




พิกัด : drive-thru



ร้าน "บลูคัฟ" Blue cup coffee



พิกัด : ปั๊ม ปตท.

ร้าน "พันธุ์ไทย"Punthai 



พิกัด : ปั๊ม PT


ร้าน "ออล คาเฟ่" All Cafe



พิกัด : ปั๊ม ปตท. , 7-11




ร้าน "เมสโซ่" Mezzo




พิกัด : ปั๊มปิโตรนาส , ปั๊มซัสโก้


ร้าน "แบล๊คแคยอน" Black Canyon



พิกัด : ปั๊ม ปตท.




ร้าน "คอฟฟี่ เวิล์ด" Coffee World




พิกัด : ปั๊ม ปตท.




ร้าน "สตาร์บัค" Starbuck




พิกัด: drive-thru ในกทมใ และปริมณฑล

ร้าน "เดลิ คาเฟ่" Deli cafe





พิกัด : ปั๊ม shell